บทที่ 1 - การปลดปล่อย
แสงแดดยามเช้าปลุกฉันให้ตื่นขึ้น ฉันยิ้มออกมาทั้งที่หัวใจยังคงหนักอึ้งเหมือนเช่นเคย ฉันหยิบบัตรเชิญหรูหราจากโต๊ะขึ้นมา ยังคงทึ่งว่ามันเป็นของจริง “วันนี้จะต้องเป็นวันที่สุดยอดแน่!” ฉันพึมพำกับตัวเอง พยายามทำเสียงให้กล้าหาญทั้งที่มันสั่นเครือ ฉันก้มมองชุดเดรสเรียบๆ ของตัวเอง รู้ดีว่ามันเทียบไม่ได้เลยกับชุดสวยๆ ที่หญิงสาวคนอื่นจะใส่ไปงานเต้นรำคืนนี้
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอัลฟ่าคิงทรงเชิญหมาป่าสาวโสดทุกคนเข้าร่วมงานเต้นรำเลือกคู่ของโอรสพระองค์ แพ็คเล็กๆ ของเราไม่เคยได้รับเทียบเชิญจากราชสำนักมาก่อน เมื่อมองในกระจก ฉันเห็นเด็กสาวหน้าเศร้าคนเดิม ผมสีเข้มยุ่งเหยิงและดวงตาที่เหม่อลอยนับตั้งแต่แม่จากไป ฉันพยายามฝืนยิ้ม แต่มันก็เป็นเพียงรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา
“แม่คะ หนูอยากให้แม่อยู่ตรงนี้จัง” ฉันกระซิบ รู้สึกได้ว่าน้ำตากำลังจะไหล “แม่จะภูมิใจในตัวหนูไหมคะ หรือจะเสียใจกับสิ่งที่หนูเป็นอยู่ตอนนี้”
กลิ่นขนมปังอบใหม่ทำให้ท้องของฉันร้อง ฉันย่องลงบันไดอย่างเงียบกริบราวจับหนู ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันเรียนรู้ที่จะทำหลังจากพยายามไม่ให้เป็นที่สังเกตมาหลายปี ในครัวอบอวลไปด้วยความตื่นเต้น เหล่าสาวใช้ต่างวิ่งวุ่นเตรียมงานสำหรับคืนนี้
ไลซ่ายิ้มเมื่อเห็นฉัน มือของเธอเปรอะไปด้วยแป้งสีขาว เธอไม่ใช่แค่สาวใช้ของฉัน แต่เธอเป็นเหมือนแม่ที่ฉันสูญเสียไป “ไม่อยากจะเชื่อเลยใช่ไหมคะ งานเต้นรำของราชสำนักของจริงเลยนะ!” ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความสุข
“นั่นสิคะ ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่าได้บัตรเชิญมาได้ยังไง ถ้าลินดาเห็นเข้าล่ะก็ ฉันแย่แน่ๆ”
“อย่าไปสนใจหล่อนเลยค่ะ วันนี้พวกเราจัดการเอง!” ลิลลี่เสริมขึ้นจากหน้าเตาร้อนๆ ใบหน้ากลมของเธอแดงก่ำเพราะความร้อนจากการทำอาหาร
“น้องสาวสุดที่รักของพี่จะได้เจอเมทแล้ว!” เธอเข้ามากอดฉัน
“โธ่ พี่ลิลลี่” ฉันผลักเธอเบาๆ พลางยิ้ม “ฉันไม่มีหมาป่านะคะ แล้วก็...”
คำพูดของไลซ่าแทรกขึ้นมา “อย่าคิดว่านั่นเป็นอุปสรรคที่ขวางคุณหนูจากการมีเมทนะคะ จงเชื่อมั่นในตัวเองและองค์เทพีแห่งดวงจันทร์” เธอกล่าว
“หนูจะพยายามค่ะ” ฉันตอบพลางยิ้มจางๆ “งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ” ฉันคว้าตะกร้าสมุนไพร พยายามเมินความเจ็บปวดในอกเมื่อได้ยินคำว่า ‘เมท’ การไม่มีหมาป่าเป็นความอัปยศที่สุดในชีวิตของฉัน หญิงสาวคนอื่นไม่เคยปล่อยให้ฉันลืมเรื่องนี้ พวกเธอมักจะกระซิบกระซาบนินทาฉันลับหลังเสมอ
ฉันเดินออกมาข้างนอก มุ่งหน้าไปยังคลินิกของแพ็ค แสงแดดเจิดจ้าเกินไป ราวกับกำลังเยาะเย้ยอารมณ์ขุ่นมัวของฉัน ตะกร้าว่างเปล่าแกว่งไปมาอยู่ข้างลำตัว ให้ความรู้สึกกลวงโบ๋ไม่ต่างจากข้างในใจฉัน
ทันทีที่ฉันเอื้อมมือไปที่ประตูคลินิก มันก็เปิดผางออกมา ใจฉันหายวาบเมื่อเห็นร่างสูงของลิฟขวางทางอยู่ ใบหน้าสวยของเธอบิดเบี้ยวเป็นรอยยิ้มเยาะน่าเกลียดจนฉันอยากจะหายตัวไปให้พ้นๆ
“แหม แหม ถ้าไม่ใช่ยัยเอลาร่าตัวไร้ค่า” เธอกล่าว น้ำเสียงเจือไปด้วยความเกลียดชัง
มือของฉันบีบด้ามตะกร้าแน่นจนเจ็บ อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้สิ ฉันคิดอย่างสิ้นหวัง
“อย่าคิดแม้แต่จะไปงานเต้นรำนั่น” ลิฟก้าวเข้ามาใกล้ ยืนค้ำหัวฉัน ดวงตาสีเขียวของเธอเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความร้ายกาจ “แกมันไม่มีหมาป่า เพราะงั้นจะไม่มีใครอยากได้แกเป็นเมทหรอก แกมันก็แค่ตัวเกะกะรกโลก!”
ฉันก้มหน้าลง ปล่อยให้เส้นผมปิดบังใบหน้าเหมือนม่าน แม่เคยบอกเสมอว่าฉันเป็นคนพิเศษ แต่เสียงของแม่ในความทรงจำกลับเลือนลางลงทุกวัน บางครั้งฉันก็สงสัยว่าตัวเองอาจจะกุเรื่องทั้งหมดขึ้นมาเอง
กลิ่นสมุนไพรของคลินิกลอยมาห้อมล้อมตัวฉันขณะที่รีบเดินผ่านลิฟไป ที่นี่ท่ามกลางยาต่างๆ ให้ความรู้สึกปลอดภัย มันทำให้ฉันนึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขตอนที่แม่สอนเรื่องการรักษา มือของฉันขยับไปเอง หยิบข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ขณะที่พยายามหยุดอาการสั่น
ผืนป่าเรียกหาฉันเป็นที่ต่อไป ที่นี่... ท่ามกลางหมู่ไม้สูงใหญ่และเสียงนกร้องเพลง ไม่มีใครทำร้ายฉันได้ ฉันสัมผัสเปลือกไม้หยาบกร้าน แสร้งทำว่าผืนป่ายอมรับฉันในยามที่ไม่มีใครต้องการ
แล้วฉันก็ได้ยิน... เสียงร้องอย่างเจ็บปวดแผ่วเบา เมื่อเดินตามเสียงไป หัวใจฉันแทบสลายเมื่อเห็นลูกหมาป่าตัวหนึ่งติดอยู่ใต้กิ่งไม้ที่หักโค่นลงมา ดวงตาหวาดหวั่นของมันสบตากับฉัน เปี่ยมไปด้วยความกลัวและความเจ็บปวด
"ไม่ต้องกลัวนะ" ฉันกระซิบพลางคุกเข่าลงข้างๆ "ฉันจะช่วยเจ้าเอง" นี่คือฉัน เด็กสาวผู้ไร้ซึ่งหมาป่า กำลังพยายามช่วยชีวิตหมาป่าตัวหนึ่ง แต่ฉันรู้ดีว่าความรู้สึกของการติดกับและเจ็บปวดมันเป็นอย่างไร เมื่อฉันช่วยลูกหมาป่าเป็นอิสระ ความไว้ใจในดวงตาของมันทำให้น้ำตาเอ่อคลอหน่วยตา
ฉันรู้สึกเกือบจะมีความสุขขณะเดินกลับบ้าน จนกระทั่งเห็นใบหน้าที่ตื่นตระหนกของไลซ่า "คุณเอลาร่า! มาเร็วเข้าสิคะ เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นแล้ว!"
โลกรอบกายพลันหยุดนิ่งเมื่อฉันก้าวเข้าไปในห้อง ที่นั่น มิสตี้ พี่สาวต่างแม่ของฉัน ยืนอยู่ในชุดแต่งงานของแม่ ชุดสีขาวล้ำค่าของฉัน... สิ่งเดียวที่ฉันมีเหลือต่างหน้าแม่
"พี่ทำอะไรน่ะ" เสียงของฉันแผ่วเบาและสั่นเครือ
มิสตี้หันมา ใบหน้างดงามของหล่อนแสร้งทำเป็นประหลาดใจ ริมฝีปากสีแดงสดของหล่อนโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม "โอ้ เอลาร่า! ในเมื่อเธอก็ไม่ได้ไปงานเต้นรำอยู่แล้ว ฉันเลยคิดว่าจะยืมของเก่าเก็บนี่มาใช้หน่อย มันก็แค่เก็บฝุ่นอยู่แล้วนี่นา!"
ก่อนที่ฉันจะทันได้ขยับตัว ไวน์แดงเข้มก็สาดลงบนด้านหน้าของชุดแม่ คราบสกปรกแผ่ขยายดุจโลหิตบนผืนผ้าขาวบริสุทธิ์ บางอย่างในตัวฉันขาดสะบั้นลง
"ไม่นะ!" ฉันกรีดร้องพลางพุ่งเข้าหามิสตี้ น้ำตาบดบังทัศนวิสัยขณะที่ฉันคว้าชุดนั้นไว้ "นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ฉันมีเหลือจากท่านนะ! พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง"
มิสตี้ผลักฉันอย่างแรง ฉันกระแทกเข้ากับเสาเตียง ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วแผ่นหลัง "นังเด็กเหลือขอไม่รู้จักบุญคุณ!" หล่อนตวาด "พวกเรายอมรับแกเป็นครอบครัวทั้งที่แกไม่มีอะไรเลย!"
เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังตึงตังขึ้นมาบนบันได แม่เลี้ยงของฉันปรากฏตัวขึ้น ดวงตาเย็นชาของนางกวาดมองทุกอย่าง
"เกิดอะไรขึ้นที่นี่" น้ำเสียงของนางเย็นเยียบราวคมมีด
"ท่านแม่!" มิสตี้เริ่มแสร้งร้องไห้ "เอลาร่าทำร้ายลูกค่ะ! ลูกก็แค่ยืมชุด แล้วน้องก็เกิดบ้าคลั่งขึ้นมา!"
มือของแม่เลี้ยงบีบแขนฉันแน่นราวคีมเหล็ก "น่าอัปยศสิ้นดี" นางขู่ฟ่อ พลางลากฉันลงไปชั้นล่าง "แกจะมาทำลายค่ำคืนนี้ของมิสตี้ไม่ได้"
ฉันดิ้นรนและอ้อนวอนขณะที่นางเหวี่ยงฉันเข้าไปในห้องใต้ดินอันมืดมิด ประตูถูกกระแทกปิด ทิ้งให้ฉันอยู่ตามลำพัง ฉันได้ยินเสียงทุกคนเตรียมตัวไปงานเต้นรำอยู่ข้างบน เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของพวกเขาดั่งมีดที่ทิ่มแทงหัวใจ
ฉันขดตัวบนพื้นสกปรก ร่ำไห้สะอึกสะอื้น "ฉันไม่มีวันหนีไปได้" ฉันกระซิบ "ฉันจะเป็นแค่คนไร้ค่าตลอดไป"
แล้วฉันก็ได้ยินเสียงขูดขีด กระดาษแผ่นหนึ่งสอดเข้ามาใต้ประตู ด้วยมือที่สั่นเทา ฉันอ่านข้อความนั้น "ที่ต้นโอ๊กเก่าแก่"
ฉันรู้ว่าเป็นฝีมือของไลซ่ากับลิลลี่ และถ้าลินด้ารู้เข้า พวกเธอต้องถูกไล่ออกแน่
ไม่กี่นาทีต่อมา ฉันยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ ถือกุญแจของไลซ่าไว้ในมือ บัดนี้ผืนป่าดูแตกต่างไป... ไม่น่ากลัว แต่เปี่ยมไปด้วยความหวัง ทุกย่างก้าวที่ห่างจากห้องใต้ดินนั่นทำให้ฉันรู้สึกแข็งแกร่งขึ้น
ฉันเจอจักรยานในจุดที่แผนที่ของไลซ่าบอกไว้ เสียงของแม่ดังก้องในหัว "ลูกเกิดมาเพื่อสิ่งที่ดีกว่านี้นะ ลูกรัก"
สายลมพัดพาน้ำตาให้เหือดแห้งขณะที่ฉันขี่จักรยานมุ่งหน้าสู่พระราชวัง เด็กสาวขี้กลัวในห้องใต้ดินได้หายไปแล้ว บางสิ่งที่ใหม่และดุดันลุกโชนอยู่ในอก
"ฉันจะเป็นเหยื่อของพวกเขาพอแล้ว" ฉันกระซิบกับดวงดาว "พอแล้วกับการเป็นคนที่มองไม่เห็น"
แสงไฟจากพระราชวังสว่างใกล้เข้ามา งดงามและน่าสะพรึงกลัวในคราวเดียวกัน หัวใจของฉันเต้นรัวด้วยความกลัวและความตื่นเต้น เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันได้เลือกเส้นทางของตัวเอง
แต่ขณะที่ฉันเข้าใกล้ประตูใหญ่ตระการตา ร่างมืดทะมึนร่างหนึ่งก็เคลื่อนไหวในเงาไม้ ลมหายใจของฉันสะดุดเมื่อดวงตาสีแดงวาวโรจน์คู่หนึ่งจับจ้องมาที่ฉัน เสียงคำรามทุ้มต่ำดังก้องไปในความมืดของราตรี
