สาวชั้นบน ตอนที่หนึ่ง - POV ของเคนดริค

พอเธอจากไป ผมก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนไปในตัว ผมไม่แน่ใจว่าควรจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับเธอหรือปฏิสัมพันธ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าเธอเป็นนักโทษในบ้านหลังนี้และหวาดกลัวสิ่งที่พวกเขาอาจจะทำกับเธอ

ผมจ้องมองขึ้นไปบนบันได ไปยังประตูห้องใต้หลังคาที่เธอหนีเข้าไป ในหัวผมมีแต่เรื่องวิ่งวนไปมา กลิ่นกายของเธอยังคงอบอวลอยู่ในอากาศ จางๆ แต่ก็ชัดเจน ปลุกเร้าบางสิ่งที่เป็นสัญชาตญาณดิบในตัวผม

เธอคือใครกัน?

ผมรู้แค่ว่าแจ็กสันมีลูกสาวคนเดียว ไม่ใช่สองคน

ทำไมเธอถึงทำตัวเหมือนเชลย คอยแต่จะก้มหน้าก้มตาด้วยความอับอายราวกับอยากจะหายตัวไป?

บาร์เร็ตต์มาเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน มาทาบทามแกบบี้ให้เป็นเมทของเวย์เลน แต่เขาเห็นผู้หญิงอีกคน เราทั้งคู่ต่างก็งงว่าเธอมาทำอะไรอยู่ในบ้านของพวกเขา แต่พอ

บาร์เร็ตต์ถามถึงเธอ โดยหวังว่าจะหาเมทให้ผม แจ็กสันกลับบอกว่าเธอไม่ว่าง

แน่นอนว่าผมไม่ได้กำลังมองหาเมทอยู่แล้ว เว้นแต่ว่าเธอจะเป็นเมทแห่งโชคชะตาของผมและเป็นคนเดียวกับในอดีต

ขณะที่บาร์เร็ตต์กับแจ็กสันกำลังคุยกัน ผมก็มองไปทางเมทของแจ็กสันกับลูกสาวของเขา ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ พลางเหลือบมองเวย์เลนเป็นครั้งคราว

บางครั้งแกบบี้ก็มองมาที่ผม แต่ผมไม่สนใจเธอเลย เธอไม่มีความหมายอะไรกับผมและจะไม่มีวันเป็น เวย์เลนอาจจะได้เธอไปถ้าหากนั่นเป็นสิ่งที่เขาและพ่อของเขาต้องการ ผมมาที่นี่เพียงเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าเมทแห่งโชคชะตาของผมไม่ได้อยู่ที่นี่ ผมค้นหาทุกที่แล้ว เหลือก็แต่ที่นี่

ผมรู้จักเธอในหลายชื่อ แต่ครั้งนี้ เธอช่างหาตัวจับยาก เหมือนเงาที่เล็ดลอดผ่านนิ้วมือไป บางคืนผมถึงกับสงสัยว่าเธอมีตัวตนอยู่จริงในชาตินี้หรือไม่ หรือว่าโชคชะตาได้พรากเธอไปก่อนที่ผมจะไปถึงตัว

แต่เธอก็อยู่ที่นี่ อยู่บนชั้นสองนั่นเอง ผมสลัดความรู้สึกนี้ทิ้งไปไม่ได้ ความรู้สึกที่แน่ใจเหลือเกินว่านั่นคือเธอ

จากอีกฟากของห้อง ผมมองดูมิลลี่โน้มตัวไปหาแกบบี้ ริมฝีปากของหล่อนขยับอย่างรวดเร็วในระดับเสียงที่ผมไม่ได้ยิน ไม่ว่าหล่อนจะพูดอะไรก็ตาม มันทำให้แกบบี้ตัวแข็งทื่อ ชั่วครู่ต่อมา เธอลุกขึ้นจากโต๊ะ เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วขณะเดินเฉียดผมไปเพื่อขึ้นไปชั้นบน

ผมขยับตัวเล็กน้อย เอียงตัวเพื่อเงี่ยหูฟัง พยายามจะดักฟังบทสนทนาที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อผู้หญิงคนนั้นไปเจอคนที่อยู่ชั้นบน

ผมเชื่อว่าเธอชื่อวาเลเรีย

มีบางอย่างเกี่ยวกับตัวเธอที่ทำให้ผมอยากจะปกป้องเธอจากครอบครัวนี้ แต่ผมจะทำอะไรผลีผลามเกินไปไม่ได้

แล้วผมก็ได้ยินเสียงเธออยู่ไหนสักแห่งบนชั้นสอง มีเสียงเคาะประตูหนักๆ ซึ่งผมเดาว่าแกบบี้กำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องของหญิงสาวคนนั้น มีเสียงขยับตัวเบาๆ ราวกับมีคนต้องเขยิบหลบ

“มีอะไรให้ฉันรับใช้ไหมคะ คุณหนู” วาเลเรียถาม ซึ่งทำให้หัวใจผมแทบจะหยุดเต้น

ทำไมเธอถึงเรียกแกบบี้ว่าคุณหนู? ที่นี่มันที่แบบไหนกัน?

“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ วาเลเรีย คือฉันสังเกตเห็นท่าทีแปลกๆ ระหว่างเธอกับเคนดริก เขาน่ะหล่อเหลาเอาการอยู่หรอกนะ แต่ก็สูงเกินกว่าที่เธอจะเอื้อมถึง ถึงเขาจะไม่ใช่หนึ่งในคู่หมายของฉัน แต่ฉันแนะนำให้เธอมองต่ำลงที่พื้นอย่างที่ควรจะเป็นจะดีกว่า เธอจะโชคดีและมีวาสนามากถ้าพ่อของฉันหาคู่ให้เธอได้ เมื่อพิจารณาว่าเธอต่ำต้อยแค่ไหน ใครจะไปรู้ล่ะ? บางทีฉันอาจจะเอาเคนดริกมาเป็นของฉันก็ได้ ในเมื่อเธอดูจะสนใจเขามากขนาดนั้น”

ผมสะกดกลั้นความอยากที่จะคำรามออกมาขณะที่แกบบี้พูด เท่าที่ผมเห็น วาเลเรียเป็นผู้หญิงสวยในวัยยี่สิบกลางๆ ไม่มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับตัวเธอเลย แถมยังงดงามอีกด้วย สิ่งเดียวที่ผิดปกติคือเสื้อผ้าเก่าๆ ที่เธอสวมใส่ กับท่าทีที่พวกเขาปฏิบัติต่อเธอ

ผมเกือบจะหันกลับไป แต่เวย์เลนคว้าแขนผมไว้ พอผมเหลือบมองกลับไป เขาก็ส่ายหน้าขณะที่ยังคงจับจ้องไปที่มิลลี่ เขารู้ทันแล้วเหมือนกับที่ผมรู้ ว่าพวกเขากำลังทำอะไรกับผู้หญิงที่น่าสงสารคนนั้นบนชั้นสอง

พวกเขากักขังเธอไว้เยี่ยงทาส

“ค่ะ คุณหนู” วาเลเรียพูดจากข้างบน แต่เสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อย ราวกับว่าคำพูดนั้นขมขื่น “ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวมากที่เขาจะหาใครสักคนให้ฉันได้”

หัวใจผมแทบแหลกสลาย พวกเขาทำอะไรกับเธอมาบ้าง? เธอเห็นอะไรเมื่อมองตัวเองในกระจก?

เธอคิดว่าตัวเองน่าเกลียดและไม่มีใครต้องการเธออย่างนั้นหรือ?

ผมได้ยินเสียงฝีเท้าเคลื่อนไหวในห้องของเธอ ผมเดาว่าแกบบี้กำลังขยับเข้าไปใกล้เธอ และผมก็เกือบจะสะบัดตัวออกจากเวย์เลนเพื่อจะขึ้นไปหาเธอ

“ดีใจซะเถอะที่ครอบครัวของฉันรับเธอเข้ามาและให้บ้านเธออยู่ตอนที่เธอไม่มีหัวนอนปลายเท้า ถ้าเธอไม่มีพวกเรา แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับเธอตอนที่เธอกลายเป็นเด็กกำพร้า? เธอควรจะมีความสุขที่ได้รับใช้พวกเราไปตลอดชีวิตเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยชีวิตเธอไว้”

“ค่ะ คุณหนู”

และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมฟิวส์ขาด ผมกระชากแขนออกจากเวย์เลนและเกือบจะคำรามออกมาให้ได้ยินกันทั่ว

แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงบาร์เร็ตต์เรียกชื่อผม

“เคนดริก?” เขามองผมราวกับไม่รู้ว่าจะพูดหรือทำอะไรดี ผมคิดว่าเขาเองก็ได้ยินบทสนทนานั้นเหมือนกัน แต่เขากำลังพยายามผูกมิตรกับแจ็กสันอยู่

“ผมไม่เป็นไร” ผมพูด พลางฝืนยิ้ม “สบายดีครับ ผมว่ามีแมลงวันบินเฉี่ยวหัวผมน่ะ แล้วหมาป่าในตัวผมมันไม่ชอบพวกนี้”

ความสนใจของผมถูกดึงกลับไปที่ชั้นบนอีกครั้ง

“ก็ดี ถ้าเธอจำได้แบบนั้น เธอก็น่าจะอยู่รอดปลอดภัย อย่าลืมว่าอาหารกลางวันจะพร้อมในอีกประมาณสี่ชั่วโมง เพราะฉะนั้นเธอควรจะเตรียมของให้พร้อมภายในตอนนั้น” แกบบี้พูด คราวนี้เสียงเบาลงมาก ซึ่งหมายความว่าพ่อของเธอคงจะรู้ทันแล้ว

ผมหันไป และเห็นเพียงแจ็กสันกำลังจ้องมาที่ผมตรงๆ เขารู้ว่าผมได้ยิน

สายตาผมหรี่ลงมองไปยังทิศทางของเขาขณะที่เราสบตากัน ผมไม่ยอมถอย ซึ่งถือเป็นการท้าทายโดยตรง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพื่อท้าทายกลับ เขารู้ว่าเขาอาจจะแพ้หากต้องสู้กันและไม่อยากจะเสี่ยง

บรรยากาศระหว่างเราตึงเครียดราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน แต่ก่อนที่มันจะปะทุ เสียงฝีเท้าที่ลั่นเอี๊ยดอ๊าดลงบันไดมาก็ดึงความสนใจของผมไป แกบบี้

กว่าเธอจะก้าวลงมาถึงขั้นสุดท้าย ความอดทนของผมก็ใกล้จะหมดลงเต็มที และร่างกายผมเกร็งแน่นด้วยความอยากจะฉีกเธอเป็นชิ้นๆ เธอเหลือบมองผมแวบหนึ่งขณะเดินผ่าน แล้วก็หันกลับไปมองแม่ของเธอ ราวกับว่าบทสนทนาระหว่างเธอกับวาเลเรียไม่เคยเกิดขึ้น

“หนูว่าเธอคงจะไปตลาดเพื่อซื้อของมาทำอาหารกลางวันค่ะ เราจะได้ทานของอร่อยฝีมือเธอกัน” แกบบี้พูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง

มีบางอย่างบอกผมว่าผู้หญิงที่น่าสงสารคนนั้นคงทำอาหารตลอดเวลา แต่ผมรู้ว่าผมยังพูดอะไรไม่ได้ ผมต้องรู้ให้มากกว่านี้ก่อนที่จะลงมือทำอะไร

บทก่อนหน้า
บทถัดไป