4.
เอ็มม่า
หลังจากคาบเรียนประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจคาบนั้น คาบเรียนอื่นๆ ของฉันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันปัดทฤษฎีเรื่องหมาป่าของฉันทิ้งไป พ่อแม่ไม่มีทางโกหกฉันหรอก เราถูกเลี้ยงดูมาให้ซื่อสัตย์ต่อกัน ฉันคือของขวัญจากท่านแม่ ฉันเอาแต่ท่องประโยคนั้นซ้ำๆ ในใจขณะรีบเดินไปตามโถงทางเดิน ฉันมัวแต่ใจลอยกับความคิดล้านแปดที่เรียกร้องความสนใจจากฉันจนไม่ทันสังเกตว่ามีคนเดินสวนมา ฉันเดินชนพวกเขาจนหนังสือร่วงลงพื้น สมุดโน้ตทั้งหมดของฉันกระจายเกลื่อนเต็มพื้นไปหมด
“ซวยแล้ว ขอโทษค่ะ” ฉันพูดพลางก้มลงเก็บของโดยไม่รู้ว่าตัวเองชนใคร มันเป็นความผิดของฉันเองที่มัวแต่คิดเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตัวเอง บางทีฉันอาจจะอยากให้คนอื่นมองว่าฉันไม่เหมือนสมาชิกคนอื่นในฝูงแล้วก็เริ่มแต่งเรื่องชาติกำเนิดราวกับเทพนิยายขึ้นมาเอง
“เดินดูทางซะบ้างสิ ยัยตัวประหลาด!”
โอ้ ไม่นะ ไม่ใช่ยัยนี่ ไม่ใช่ตอนนี้ ฉันส่ายหัวแล้วก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อไป บางทีถ้าฉันทำตัวเหมือนล่องหน เธออาจจะคิดว่าฉันล่องหนจริงๆ ก็ได้ ไอคิวของหล่อนคงจะช่วยให้สถานการณ์ของฉันดีขึ้นล่ะมั้ง
“โง่จนพูดไม่ออกเลยรึไง หรือว่าเป็นเพราะผู้พิทักษ์ของแก เอเดนกับเมสัน ไม่อยู่แถวนี้เลยไม่กล้าอ้าปากล่ะ? แกมันนังแพศยา สิ้นไร้ไม้ตอก คอยแต่จะเกาะติดอัลฟ่ากับเบต้า คิดว่าพวกเขาจะเอานังไร้หมาป่าชั้นต่ำอย่างแกมาเป็นคู่ครองเรอะ?” หล่อนยังคงพ่นวาจาต่อไป แต่ละคำอาบไปด้วยยาพิษ
แต่ก็ไม่ หล่อนดึงดูดฝูงชนเข้ามามุงขณะที่ยังคงด่าทอฉันไม่หยุด หล่อนกำลังได้ใจ ความสนใจทั้งหมดจับจ้องไปที่หล่อน แต่หมาป่าในตัวฉันไม่ยอมด้วย อย่างหนึ่งเกี่ยวกับหมาป่าของฉันก็คือ เธอจะรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าใครในสถานการณ์แบบนี้ เธอเกลียดเวลาที่มีคนมาดูถูกและทำให้พวกเราอับอายในที่สาธารณะ
‘อาเลีย ใจเย็นๆ เถอะนะ หล่อนไม่คุ้มค่าที่เราจะไปใส่ใจหรอก’ ฉันพูดกับหมาป่าในตัว พยายามอย่างสุดกำลังที่จะทำให้เธอสงบลง
‘ไม่มีใครหน้าไหนจะมาลบหลู่มนุษย์ของฉันได้ ไม่เว้นแม้แต่ยัยสวะนี่’ เธอตวาดใส่ฉัน
ฉันรู้สึกได้ว่ามือของฉันเริ่มกระบวนการแปลงร่าง ดวงตาของฉันมืดลงขณะที่พยายามควบคุมลมหายใจให้สงบ อาเลียไม่ยอมสงบลงเลย
“แกมันก็แค่ตัวไร้ค่า เอเดนอยู่กับแกก็เพราะเขาสงสารยัยเด็กขี้เหงาไร้เพื่อนเท่านั้นแหละ” เฮทเธอร์พูดต่อ ฉันได้ยินเสียงเย้ยหยันและความรังเกียจในน้ำเสียงของหล่อน และโชคร้ายที่อาเลียก็ได้ยินเช่นกัน
หมาป่าในตัวฉันเข้าควบคุมและเหวี่ยงหล่อนอัดเข้ากับผนังตู้ล็อกเกอร์ หล่อนมองมาที่ฉันด้วยแววตาหวาดกลัว ฉันถึงกับได้กลิ่นความกลัวนั้นโชยออกมาเป็นระลอก เสียงสูดลมหายใจด้วยความตกใจดังระงมไปทั่วโถงทางเดิน สำหรับพวกเขา ฉันมันอ่อนแอและน่าสมเพช เป็นแค่รอยด่างพร้อยในเผ่าพันธุ์ผู้ครอบครองเหนือสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติทั้งมวล
“ฟังนะ ยัยตุ๊กตาบาร์บี้ซิลิโคน แกอย่าลากเอเดนกับเมสันเข้ามาเกี่ยวข้องกับความเกลียดชังไร้สาระที่แกมีต่อฉัน แกจะว่าอะไรฉัน ฉันไม่สน ฉันไม่แคร์เลยสักนิดว่าทำไมแกถึงเกลียดฉัน สำหรับฉัน แกมันก็แค่นังแพศยาสมองกลวงคนหนึ่ง” ฉันพูดพลางกระชับมือที่บีบคอหล่อนแน่นขึ้น นี่ไม่ใช่ฉัน อาเลียเริ่มแข็งแกร่งเกินกว่าที่ฉันจะควบคุมได้ ปกติแล้วคำพูดของเฮทเธอร์ไม่เคยมีผลอะไรกับฉันเลยในขณะที่ฉันคอยปลอบอาเลีย ฉันต้องควบคุมเธอให้ดีกว่านี้
มีบางอย่างผิดปกติกับเธอ มีบางอย่างผิดปกติกับพวกเรา
ฉันรู้สึกถึงแขนของใครบางคนโอบรอบเอว แต่ฉันไม่สนใจ และยกเฮทเธอร์ให้ลอยสูงขึ้นจากพื้นอีกสองสามนิ้ว กลิ่นที่คุ้นเคยของพวกเขาโชยมาแตะจมูก แต่ฉันเลือกที่จะไม่สนใจมัน ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วคนคนนั้นก็จูบฉันที่หลังใบหูและบอกให้ฉันใจเย็นลง เขาทำแบบนั้นสามครั้งก่อนที่ฉันจะยอมทำตาม
เอเดน
อาเลียเชื่อฟังและปล่อยเฮทเธอร์ เธอครางหงิงๆ แล้วคืนการควบคุมให้ฉัน ก่อนจะกลับไปยังที่หลบภัยของเธอในดินแดนแห่งจิตวิญญาณ ฉันรู้สึกได้ถึงความเสียใจของเธอ แม้มันจะเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความพอใจที่ได้ขู่เฮทเธอร์จนกลัว เอเดนจับฉันหันไปเผชิญหน้ากับเขาด้วยสีหน้ากังวล
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษนะ เธอกำลังแข็งแกร่งขึ้น เอเดน” ฉันพูดกับเขาเบาๆ ข้างในใจฉันกำลังสติแตกสุดๆ เมสันเดินเข้ามาหาพวกเราแล้วมองไปที่เฮทเธอร์ซึ่งกำลังไอและพยายามควบคุมลมหายใจ
“ดูสิ... ว่า... ยัยนี่ทำอะไรกับฉัน... อัลฟ่า” หล่อนเค้นเสียงพูดออกมาจากพื้น
เมสันดึงฉันออกจากเอเดน ซึ่งฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาสวมเพียงกางเกงบาสเกตบอลขาสั้น บ้าจริง เขาดดูดีชะมัด ใจเย็นเอ็มม่า ไม่ใช่ตอนนี้
“ทุกคนออกไป!” เอเดนตะโกนด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ อาเลียขู่ฟ่อ เธอไม่เคยชอบเวลาที่เขาหรือพ่อของเขาใช้น้ำเสียงแบบนั้น สิ้นเสียงนั้น ทุกคนก็จากไป ทิ้งให้เฮทเธอร์จัดการตัวเอง เพื่อนๆ ของหล่อนก็รวมอยู่ในกลุ่มคนที่ทิ้งหล่อนไปด้วย ฉันไม่มีโอกาสได้ฟังบทสนทนาระหว่างหล่อนกับเอเดน เพราะเพื่อนรักของฉันดึงตัวฉันออกไปเสียก่อน
เมสันพาฉันออกจากโรงเรียนไปยังชายป่า ‘อาเลีย! เป็นอะไรไป? ฉันนึกว่าเราควบคุมมันได้แล้วเสียอีก’ น้ำเสียงของฉันนุ่มนวลแต่อ้อนวอนขณะพูดกับเธอ ฉันรักอีกครึ่งหนึ่งของฉัน เธอเป็นพลังให้ฉันในวันที่ความมั่นใจของฉันตกต่ำถึงขีดสุด เธอคือหลักยึดของฉัน
‘เรื่องนั้น ฉันขอโทษนะเอ็มม่า ฉันแค่อยากจะปกป้องเธอ’ เธอพูดกับฉันเสียงครางหงิงๆ
‘ไม่เป็นไรหรอกอาเลีย แต่ฉันจัดการกับยัยหมากระจอกนั่นได้น่า’ ฉันบอกเธอ เธอพ่นลมอย่างดูถูก และฉันก็กลอกตา
ฉันตามเมสันไปยังบริเวณที่เงียบสงัดในป่า ที่ซึ่งเขานั่งลงและฉันก็นั่งตาม มันเป็นที่ประจำของพวกเรา เขาให้ฉันนั่งบนตักและกอดฉันไว้ใกล้ๆ พวกเราสามคนเจอที่นี่ตอนออกผจญภัยด้วยกันสมัยเด็กๆ ตั้งแต่นั้นมา พวกเราก็มาที่นี่เพื่อพักผ่อน เล่น หรือแม้กระทั่งตั้งแคมป์ สถานที่พิเศษของพวกเรา
“พวกเราจะไม่บอกพ่อของเธอ เรารู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่คราวหน้า เธอต้องพยายามควบคุมเธอให้มากกว่านี้” นั่นคือทั้งหมดที่เขาพูดก่อนจะจูบที่ศีรษะของฉัน
“ฉันพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว แต่มันเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะ ‘แกล้งทำเป็น’ ไร้หมาป่า ฉันรู้สึกได้จริงๆ ว่าเราทั้งคู่แข็งแกร่งขึ้นแค่ไหน และมันสับสนโคตรๆ หนังสือเกี่ยวกับหมาป่าตัวเมียไม่เห็นมีบอกเรื่องพลังที่เพิ่มขึ้นเลย พวกเราถูกกำหนดมาให้อ่อนโยน เป็นความสงบสุขของผู้ชาย” ฉันเถียงพลางลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวเราจะหาทางออกได้เอง ไม่ต้องห่วง ฉันรู้ว่ามันอาจจะขอมากไปหน่อย แต่ระวังตัวด้วยนะ โอเคไหม?!”
ฉันพยักหน้าแล้วมองไปทางขวาหลังจากได้กลิ่นที่คุ้นเคยนั้น ฉันเห็นหมาป่าตัวใหญ่สีน้ำตาลเทาเดินออกมาจากแนวต้นไม้ตรงมาทางพวกเรา อาเลียดีใจจนเนื้อเต้น นั่นคือเอซ หมาป่าของเอเดน ทั้งคู่สนิทสนมกันมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากระหว่างคู่ที่ไม่ใช่เมทกัน
มันนั่งลงตรงหน้าเมสันกับฉันพลางกระดิกหาง ฉันมักจะขำเสมอเวลาที่หมาป่าของพวกเราทำตัวเหมือนลูกหมาตัวยักษ์ที่เรียกร้องความสนใจ
‘ไม่เป็นไรนะ ผีเสื้อน้อย?’ เอเดนถาม
"ฉันไม่เป็นไรแล้ว" ฉันพูดพลางลูบขนเขา เขาเลียมือและแก้มฉันแล้วก็ใช้เท้าหน้าตะปบรองเท้าฉันเล่น โอ พระเจ้า ฉันคิดถึงช่วงเวลาที่เราเคยเป็นแบบนี้กันจัง
เมสันกับฉันหัวเราะกับการกระทำของเขา "โอเคเพื่อน เพื่อเห็นแก่ความหลังนะ แค่อย่าลืมว่าน้องต้องกลับมาก่อนบ่ายสาม" เมสันพูดพลางถอดเสื้อผ้า ฉันเดินไปหลังต้นไม้ ได้ยินเสียงร่างแปรเปลี่ยนและกระดูกลั่น หลังจากเก็บเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ฉันก็แปลงร่างแล้วเดินออกมาหาเอเดนกับเมสัน
ทั้งคู่ก้าวเข้ามาเลียหน้าฉันอย่างรักใคร่ สองคนนี้เป็นเหมือนสมอเรือในชีวิตของฉัน ฉันรู้ว่าพวกเขารักฉัน ในแบบของแต่ละคน และฉันก็รู้สึกขอบคุณจริงๆ ที่มีพวกเขา
'น้องหญิง สบายดีไหม เอเดนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พวกเราฟังแล้ว มีใครเห็นร่างหมาป่าของน้องอีกหรือเปล่า' ข้อความที่เต็มไปด้วยความกังวลของโจนาห์ส่งมาถึงฉัน หลายปีที่ผ่านมา พวกเขาทั้งคู่คอยติดตามความเป็นไปและการกระทำของฉันมาตลอด ฉันไม่เคยถามว่าทำไม ฉันปัดมันทิ้งไปว่าเป็นเพราะความเป็นพี่ชายที่ห่วงน้อง ฉันว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องถามคำถามอีกครั้ง
'ไม่น่าจะมีนะคะ อาเลียแค่ใช้พละกำลังเฉยๆ ตอนนี้น้องอยู่กับพวกผู้ชาย กำลังจะไปวิ่งเล่น แล้วเจอกันค่ะ' ฉันตอบแล้วตัดการเชื่อมต่อ
เอเดนใช้จมูกดุนให้ฉันตามไป ฉันก็ทำตาม เราทั้งสามวิ่งเล่นกันไปรอบๆ แล้วก็เล่นกันนิดหน่อยเพื่อคลายความตึงเครียด เรานอนแผ่บนพื้นหญ้าอาบแดดในร่างหมาป่าท่ามกลางความเงียบสงบที่แสนสบาย
'พวกนายสองคนจะมีผู้หญิงคนไหนในโรงเรียนก็ได้ แต่กลับเลือกที่จะสนใจแค่ฉันคนเดียว ทำไมเหรอ' ฉันถาม
'สำหรับฉันนะ เธอคือครอบครัว น้องสาวของฉัน เพื่อนรักของฉัน ฉันยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ เอ็มม่า' เมสันตอบ
เอเดนขยับมาข้างฉันแล้วซบหัวลงบนอุ้งเท้าของฉัน 'และสำหรับฉัน ฉันรักเธอ ฉันรู้ว่าเรายังเด็กและต่างก็มีคู่แท้อยู่ข้างนอกนั่น แต่ฉันแค่อยากมีเราในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ได้โปรดให้โอกาสเรานะ' เอเดนตอบ ฉันคิดถึงเขาและยังคงมีความรู้สึกให้เขาอยู่ แต่ฉันหวังว่าเขาจะเข้าใจว่าความสัมพันธ์ครั้งใหม่นี้มันจะแตกต่างไปมากแค่ไหน คู่แท้ของเราอยู่ข้างนอกนั่น คนที่เราถูกเลือกไว้ให้ นี่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่จะคงอยู่ตลอดไป ถ้าเขารับรู้เรื่องทั้งหมดนี้ เราก็คงอยู่บนเส้นทางเดียวกัน
'ฉันก็รักนายเหมือนกัน' ฉันพูดพลางเลียหน้าเขา
'คู่รักนกน้อยทั้งสองเสร็จธุระกันรึยังล่ะเนี่ย หวังว่านายจะบอกน้องไปแล้วนะ เอเดน' เมสันพูดพลางพ่นลมหายใจทางจมูก
'ใช่ ฉันบอกแล้ว' เอเดนพูดพลางหัวเราะ
'ดีเลย งั้นพวกนายสองคนก็ช่วยลดการแสดงความรักในที่สาธารณะต่อหน้าฉันลงหน่อยก็แล้วกัน'
'คนที่เพิ่งจะพลอดรักดูดดื่มต่อหน้าฉันเมื่อสามวันก่อนพูดน่ะสิ' ฉันพูดพลางงับหูเขาเล่น เมสันพ่นลมอย่างหงุดหงิดแล้วตะปบฉันเล่น
'กลับกันเถอะ ฉันต้องกลับบ้านไปเอาเสื้อผ้า' เอเดนพูดพลางเดินนำไปทางต้นไม้
เราแปลงร่างกลับเป็นมนุษย์แล้วมุ่งหน้ากลับไปโรงเรียน เมสันเดินนำหน้าไปเพื่อปล่อยให้เราได้อยู่กันตามลำพัง
"ฉันหมายความตามที่พูดไปตอนนั้นจริงๆ นะ ฉันรักเธอ เอ็มม่า ไม่ว่ายังไงก็ตาม" เอเดนพูดพลางหยุดอยู่ที่ประตูโรงเรียน
ฉันสางนิ้วเข้าไปในผมของเขาซึ่งทำให้เขาคำรามออกมาด้วยความพอใจ
"ฉันหวังว่าเธอจะเป็นคู่แท้ของฉัน ฉันไม่อยากเสียเธอไปเลย" เขาพึมพำพลางกุมมือฉันไว้
พระแม่เจ้าเบื้องบน นี่มันเป็นสิ่งที่เขาควรจะพูดออกมาหรือเปล่านะ
ดวงตาของเขามีแววคร้ามและเต็มไปด้วยความปรารถนาขณะมองมาที่ฉัน ไม่ทันที่ฉันจะรู้ตัว เขาก็ดึงฉันเข้าไปหา บดเบียดริมฝีปากของเขาเข้ากับริมฝีปากของฉัน ฉันไม่แปลกใจเลยที่รู้สึกถึงความสุขและความพึงพอใจอย่างแท้จริงเมื่อเราจูบกัน แต่มีบางอย่างขาดหายไป ลิ้นของเขาต่อสู้กับลิ้นของฉันขณะที่มือของฉันลูบไล้ไปตามแผงอกเปลือยเปล่าของเขา เขาตัวแข็งทื่อเมื่อนิ้วของฉันสัมผัสโดนท้องน้อยของเขา "สงสัยว่าเธอยังมีอิทธิพลกับฉันมากจริงๆ นะ ผีเสื้อน้อย" เขาคำรามข้างหูฉัน
"มันแสดงให้เห็นว่าลึกๆ แล้วคุณต้องการอะไรกันแน่" ฉันกระซิบข้างหูเขา ทำให้ร่างเขาสะท้าน
เขาเบียดกายเข้ามาอย่างเร่าร้อน ทำให้ฉันรับรู้ได้ถึงความปรารถนาในตัวเขา เขาซุกหน้าลงกับซอกคอฉัน สูดดมกลิ่นกายแล้วกระซิบว่า "กลิ่นของเธอทำฉันแทบคลั่ง"
"ไว้ทีหลังนะคะ ที่รัก" ฉันพูดพลางผลักเขาออกเบาๆ แล้ววิ่งเข้าไปในบ้าน
มันเป็นความเสี่ยงที่เราทั้งคู่ยอมรับเมื่อตกลงที่จะกลับมาคบกันอีกครั้ง แต่ฉันก็รู้ลึกๆ ในใจว่าในที่สุดแล้วเขาก็จะปล่อยฉันไป เช่นเดียวกับที่ฉันก็จะทำเมื่อเขาเจอเมทของเขา เราต่างเข้าใจดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ฉันรู้สึกตื่นเต้นอยู่ลางๆ กับการที่จะได้เจอเมทของตัวเอง แต่หัวใจสาวน้อยวัยมัธยมของฉันยังคงโหยหาเอเดน
เมสัน
‘เธอแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ครับ เราต้องบอกเธอแล้วครับท่าน’ ผมสื่อสารทางจิตถึงพ่อของเอ็มม่า
‘วันเกิดปีที่สิบแปดของเธอกำลังจะมาถึงในไม่ช้า พลังและความสามารถใหม่ๆ ของเธอจะเริ่มปรากฏ พ่อจะบอกเธอเร็วๆ นี้ ฝากดูแลเธอให้ใกล้ชิดด้วย พ่อบอกเอเดนแล้ว ส่วนฝาแฝดก็คอยสอดส่องอยู่รอบโรงเรียน’ เขาตอบกลับมา
เวลาที่เธอจะต้องจากไปใกล้เข้ามาทุกที
ขณะเดินเข้าไปในบริเวณสระว่ายน้ำที่จะใช้จัดการแข่งขัน ผมนึกถึงวันเวลาของเราเมื่อยังเด็ก เธออยู่เคียงข้างผมตอนที่แม่เสีย ตอนที่ผมอกหักครั้งแรก เป็นคนที่ผมสามารถบอกเล่าความกลัวที่อยู่ลึกสุดในใจได้ เอ็มม่าเป็นคนดีจริงๆ
ผมมองไปที่ทางเข้า เห็นเอเดนกำลังเดินมาทางนี้ เขาจะต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ เมื่อพวกเขาพาเธอกลับไป ผมรู้ว่าทั้งคู่รักกันมากเหลือเกิน แต่พวกเขาไม่ใช่เมทกัน มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากในหมู่คนหมาป่า เอเดนเทิดทูนเอ็มม่าเหนือสิ่งใด เขารู้ความลับที่ทั้งสามครอบครัวปิดบังเธอไว้ บางทีเมื่อทั้งคู่ต่างเจอเมทของตัวเองแล้ว มันอาจจะช่วยเติมเต็มช่องว่างในใจได้
"ไงเพื่อน" ผมทักเขาขณะที่เขานั่งลงข้างๆ
สายตาของเขาจับจ้องไปที่สระว่ายน้ำ ผมมองตามสายตาเขาไปแล้วส่ายหัว
ข้างม้านั่งริมสระ เอ็มม่านั่งอยู่กับโค้ชในชุดว่ายน้ำ กำลังคุยกับเพื่อนร่วมทีมสองสามคนอย่างออกรสออกชาติ ทว่าระหว่างสนทนา เธอก็หยุดชะงักแล้วก้มหน้าลง บางทีอาจจะด้วยความเขินอาย ผมหันไปมองเพื่อนซี้เมื่อได้ยินเขาหัวเราะคิกคักกับตัวเอง
"แกล้งน้องก่อนแข่งแบบนี้มันไม่ดีนะเพื่อน" ผมพูดพลางใช้ศอกกระทุ้งสีข้างเขาเบาๆ
"ถ้างั้นน้องก็ไม่ควรทำตัวน่ามองขนาดนั้นสิ" เขาตอบ
ผมมองเพื่อนสนิทของผม ผมรู้ดีว่าเอ็มม่าสวย ทั้งรูปร่างและนิสัยก็ดีพร้อม แต่ผมไม่เคยเห็นเธอในแง่นั้นเลย ผมเห็นเธอเป็นเหมือนน้องสาวที่ผมต้องคอยปกป้องและรักเสมอมา ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ต้องการมันเลยก็ตาม
เขาถอนหายใจยาว "นายว่า...ถ้าน้องเจอเมทของตัวเองแล้ว น้องจะผลักไสฉันไหม?" เขาถาม
ผมครุ่นคิดถึงคำถามของเขาขณะที่นักว่ายน้ำเข้าประจำที่ เอ็มม่ามองขึ้นมาบนอัฒจันทร์ โบกมือให้พวกเราแล้วก็ครอบครัวของเธอที่นั่งอยู่ถัดลงไป สายตาของเธอมองกลับมาที่พวกเราอีกครั้งขณะที่เราส่งกระแสจิตอวยพรให้เธอโชคดี เธอพยักหน้าให้พวกเราอย่างขอบคุณแล้วจดจ่อกับการแข่งขันตรงหน้า
"น้องไม่ทำแบบนั้นหรอก ก็เหมือนพวกเรานี่แหละ พวกนายสองคนจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปอยู่แล้ว" ผมให้ความมั่นใจกับเขา
เมื่อเสียงปืนสัญญาณดังขึ้น การแข่งขันก็เริ่มต้น
































































































































































































































