การริเริ่ม
ทุกอย่างเริ่มต้นจากโทรศัพท์เพียงสายเดียว เดี๋ยวนะ... ต้องบอกว่าหลายสายต่างหาก
สตีฟกับไอรีนคบกันมานานกว่าสามปีแล้วตอนที่เธอได้รับโทรศัพท์สายแรก ตอนแรกมันฟังดูเหมือนโทรศัพท์ก่อกวน มีแค่เสียงหายใจหนักๆ โดยไม่มีใครพูดอะไรจากปลายสาย ก่อนจะถูกตัดบทด้วยการวางสายไป เมื่อเธอลองโทรกลับด้วยความสงสัยว่าอาจมีเรื่องฉุกเฉินที่โรงพยาบาล เธอก็พบว่าตัวเองถูกบล็อกเบอร์ไปแล้ว
โทรศัพท์สายที่สองก็เป็นแบบเดียวกัน
แต่โทรศัพท์สายที่สามได้เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างไป สิ่งที่เธอคิดว่าเป็นแค่การโทรมาก่อกวนซ้ำๆ กลับกลายเป็นชายคนหนึ่งที่กำลังโกรธจัด เธออยู่คนเดียวในอพาร์ตเมนต์ เหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวัน และไม่ทันได้ตั้งตัว เธอเคยสงสัยว่าอาจเป็นผู้หญิงที่สตีฟแอบไปมีอะไรด้วย แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นสามีของกิ๊กคนนั้นต่างหาก
“นี่ใครวะ” เขาตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “แล้วทำไมเมียฉันต้องโทรหาแกด้วย”
ไอรีนรู้สึกหงุดหงิดกับน้ำเสียงของเขา เธออยากจะคิดว่าเขาโทรผิดเบอร์ “คุณนั่นแหละที่โทรมา! แล้วคุณเป็นใครกัน” เธอซักไซ้กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้
“แกเป็นผู้หญิงจริงๆ หรือแค่แกล้งเป็น” ชายคนนั้นตวาดเสียงลอดไรฟัน
“ก็แล้วแต่... ว่าใครอยากจะรู้ล่ะ”
“ให้ตายสิ มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นแหละที่น่ารำคาญได้ขนาดนี้ มีใครอยู่กับแกอีกไหม”
“ฉันไม่ตอบจนกว่าจะรู้ว่าคุณเป็นใครหรอกนะ พ่อหนุ่ม”
“บ้าเอ๊ย ฉันไม่ใช่พี่ชงพี่ชายอะไรของเธอทั้งนั้น!”
ชายคนนั้นวางสายไปก่อนจะโทรกลับมาอีกครั้งในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลังเมื่อเขาใจเย็นลงแล้ว ไอรีนคิดว่าจะปล่อยให้โทรศัพท์ดังต่อไป แต่ความสงสัยของเธอเองก็ถูกจุดประกายขึ้นมาแล้ว และเธอก็พร้อมที่จะให้ความจริงปรากฏ เธอรับโทรศัพท์ เตรียมพร้อมรับมือกับการปะทะคารมกับชายแปลกหน้าอีกครั้ง แต่เขากลับทำให้เธอประหลาดใจด้วยการขอโทษ
“ผมขอโทษ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “ผมคิดว่าภรรยาของผมกำลังนอกใจผมอยู่ ผมรู้ว่าผมทำตัวแย่มากกับคุณ แต่เบอร์นี้มันโผล่ขึ้นมาในบิลค่าโทรศัพท์ของเรา... แล้วก็บ่อยมากด้วย มีใครอาศัยอยู่กับคุณอีกไหมครับ”
ไอรีนไม่อยากเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า แต่การที่ผู้หญิงจะอาศัยอยู่กับคนอื่นนั้นปลอดภัยกว่า และเธอก็อาศัยอยู่กับคนคนหนึ่งจริงๆ นั่นคือสตีฟ แฟนหนุ่มของเธอ เขาเป็นเหมือนเสาหลักของบ้าน คอยดูแลทุกอย่างในขณะที่เธอต้องทำงานเป็นกะอย่างบ้าคลั่งในช่วงที่พยาบาลทั่วโลกขาดแคลน
เธอรู้ทั้งหมดนั่น แต่ทิฐิของเธอก็มีมากกว่า เธอไม่เต็มใจจะยอมรับกับชายแปลกหน้าคนนี้ว่าเธอถูกคนรักที่คบกันมาสามปีสวมเขาและหลอกลวงมาโดยตลอด ผู้ชายที่เธอมีอะไรเหมือนกันมากมายจนแทบจะเป็นเพื่อนสนิทกันได้
เมื่อเธอไปคาดคั้นกับสตีฟ โดยผสมข้อมูลเท็จเข้ากับความจริงเพื่อลากเรื่องราวทั้งหมดออกมา เขาก็ยอมจำนนต่อแรงกดดัน เขายอมรับว่านอกใจเธอมาเป็นเวลาหกเดือนแล้ว
ไอรีนไม่เคยรู้สึกโง่เง่าหรือต่ำต้อยเท่านี้มาก่อนในชีวิต
เธอรู้สึกสิ้นหนทาง เพิ่งเลิกกับแฟนสดๆ ร้อนๆ และไม่มีที่ไป อพาร์ตเมนต์เป็นของเขา เช่นเดียวกับข้าวของส่วนใหญ่ในนั้น เธอจำต้องไปอาศัยอยู่กับเพื่อนสองสามเดือนระหว่างที่หาอพาร์ตเมนต์และงานใหม่
ท้ายที่สุด การได้พูดคุยกับพ่อของเธอซึ่งเกษียณแล้วก็ได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไป เธออยากจะย้ายไปอยู่ใกล้ท่าน พ่อของเธอเป็นทหารจึงไม่ค่อยได้ใช้เวลากับเธอตอนที่เธอยังเด็ก แต่ตอนนี้ท่านอยากจะชดเชยและอยากให้เธอกลับไปฉลองวันหยุดด้วยกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่ได้ทำมานานมากจนรู้สึกละอายใจ
เธอเริ่มยื่นใบสมัครงานตามโรงพยาบาลต่างๆ ที่อยู่ใกล้บ้านพ่อ ไม่นานหลังจากที่ได้นัดสัมภาษณ์ เธอก็บินกลับบ้านไปอยู่กับเกร็ก พ่อของเธอ ซึ่งอาศัยอยู่ห่างจากตัวเมืองหลักไปราวสองสามชั่วโมง บ้านของเขาอยู่ใกล้กับเขตทหาร เพราะเขาไม่อยากอยู่ห่างจากสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยมาเกือบทั้งชีวิต
พ่อของเธอเองที่เป็นคนแนะนำโอกาสในการทำงานที่ศูนย์การแพทย์เกล็นน์ให้ ที่นี่เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลเฉพาะทางที่ทหารจะถูกส่งตัวมารักษาในกรณีฉุกเฉิน อีกทั้งยังมีผู้คนเข้าออกอย่างพลุกพล่านเนื่องจากทำเลที่ตั้งที่ได้เปรียบ
และนั่นคือเหตุผลที่เธอยืนอยู่ตรงนี้ เดินฉับๆ ไปตามโถงทางเดิน พร้อมกับรถเข็นที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ซึ่งจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ถ้วยใส่ยาในมือ และคลิปบอร์ดที่หนีบไว้ระหว่างแขนกับลำตัว
“โห คุณจัดทุกอย่างได้เป็นระเบียบขนาดนี้ได้ยังไง” เขาถาม พลางชื่นชมที่หลอดและม้วนผ้าก๊อซทุกชิ้นถูกจัดวางห่างกันในระยะที่เท่ากันเป๊ะ เสียงของเขาฟังดูเลื่อมใส “ผมอยากจะเป็นคนมีระเบียบแบบนี้บ้างจัง”
“เป็นนิสัยเสียน่ะค่ะ” เธอบ่นอุบอิบ
“ไม่เอาน่า มอน ไปเตรียมให้น้ำเกลือกันเถอะ”
ไอรีนอยากจะครางออกมากับชื่อเล่นใหม่ของเธอ ‘มอน’ ซึ่งย่อมาจาก ‘โมนิกา’ จากซีรีส์เรื่อง เฟรนด์ส ดูเหมือนว่าทักษะการจัดระเบียบและความต้องการให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางของเธอจะค่อนข้างคล้ายกับตัวละครจากวัฒนธรรมสมัยนิยมตัวนั้น เธออดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะคิดอย่างไรถ้าเธออ้าปากพูดบ่อยขึ้นแล้วเริ่มพูดจาเหมือนโมนิกาขึ้นมาจริงๆ
พวกเขาออกไปทำภารกิจสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แต่เมื่อเกวินขอให้เธอช่วยแทงสายน้ำเกลือให้เขาหน่อย ‘เพื่อเป็นการซ้อมมือ’ แอนดี้ก็ปรี๊ดแตก
“โอโป้ เธอเป็นพยาบาลมาสี่ปีแล้วนะ!”
“ห้าปีค่ะ” ไอรีนแก้เบาๆ
“ห้าปี!” เขาพูดซ้ำ “เธอแทงสายน้ำเกลือเป็นอยู่แล้ว อย่าคิดแม้แต่วินาทีเดียวเลยนะว่าจะนั่งสบายๆ แล้วหลอกใช้ให้เธอทำงานของแกทั้งหมด”
หน้าของเกวินทะมึนลง “ฉันถามเขา ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนแทนเลยนี่เพื่อน” เขาพูดอย่างหยิ่งๆ พร้อมกับชูนิ้วกลางให้แอนดี้ก่อนจะรีบเผ่นหนีไป
แอนดี้ถลึงตาตามไปในทิศนั้น ขณะที่ไอรีนแอบขำอยู่หลังมือ
.
ทั้งสองลงมาทานอาหารกลางวันข้างล่างตอนที่แอนดี้เริ่มปล่อยข้อมูลชุดใหญ่อีกครั้ง “อย่าไปกินข้าวในห้องพักนะ นอกจากว่าเธออยากจะโดนงานไม่จำเป็นตามหลอกหลอน แล้วก็อย่าลืมปิดเจ้าพวกนี้นะ” เขาพูดพลางชี้ไปที่โทรศัพท์ไร้สายในกระเป๋าเสื้อ มันส่งเสียงร้องจิ๊บๆ ตอนที่ปิดเครื่อง
“ปิดโทรศัพท์เหรอคะ ถ้านายว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” เธอพยักหน้า
“ไม่ใช่ทุกอย่างในโรงอาหารจะกินได้นะ” เขากระซิบขณะที่พวกเขาเดินไปยังบาร์อาหารร้อน ป้าแม่ครัวยืนรอพวกเขาอยู่โดยกอดอกไว้ สีหน้าเบื่อโลกเต็มขั้น “ถ้าเธอชอบกินไก่แล้วอยากทำโปรเทีนให้ถึงเป้าในแต่ละวันล่ะก็ เชิญกินที่บาร์อาหารร้อนได้เลย เพราะปริมาณไก่ที่นี่จะค่อยๆ กัดกินความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่เหลืออยู่ในชีวิตเธอไปจนหมด”
พวกเขาหยุดอยู่หน้าเตาย่างซึ่งมีแฮมเบอร์เกอร์กับฮอตด็อก “บางทีของตรงนี้ก็พอใช้ได้นะ ต้องคอยดูดีๆ แต่สลัดบาร์จะดีกว่าถ้าเธอชอบเล็มหญ้าปรุงรสเล่น”
“โอเคค่ะ” ไอรีนตอบเสียงสดใส ไม่ต่างจากที่ทำงานเก่าของเธอเลย
“อย่าแตะเฟรนช์ฟรายส์เด็ดขาด นอกจากจะเห็นว่าเขาเพิ่งเอาขึ้นมาจากเตาทอด” เขาเตือน
พวกเขาตักอาหาร จ่ายเงิน แล้วหาที่นั่ง
ทันใดนั้น ไอรีนก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง “คุณเป็นพรีเซปเตอร์ที่ดีมากเลยนะ” เธอบอกเขา คนอื่นอาจจะคิดว่าคำพูดของเธอฟังดูน่าหัวเราะ แต่ไม่เคยมีใครบอกเธอถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของโรงพยาบาลแบบนี้มาก่อนเลย แอนดี้ให้ข้อมูลล้ำค่าแก่เธอเพื่อใช้จัดการชีวิตทั้งในสังคมและเรื่องส่วนตัว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเอาชีวิตรอดในที่ทำงาน
“เพิ่งจะมารู้ตัวเหรอ” เขาแหย่
“คนที่เคยเป็น ‘บัดดี้’ ให้ฉันที่ทำงานเก่าทำเหมือนกับว่าฉันเป็นตัวถ่วงของเขาเลยล่ะ แต่คุณกลับถอยไปดูห่างๆ แล้วปล่อยให้ฉันทำงานโดยไม่มาจู้จี้จุกจิกอยู่ข้างหู”
แอนดี้ทำหน้างงขณะเทซอสมะเขือเทศกองพะเนินลงบน ‘เฟรนช์ฟรายส์’ ของตัวเอง “ทำไมต้องทำให้เด็กใหม่รู้สึกแบบนั้นด้วยล่ะ มีคนมาทำงานแทนให้ก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอ” เขาถาม
‘ว่าแล้วเชียว!’ เธอคิดอย่างผู้มีชัย
“ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าต้องเลี่ยงใครบ้าง แต่ใครบ้างล่ะที่ปลอดภัย”
เขายัดเฟรนช์ฟรายส์สองสามชิ้นเข้าปากแล้วใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ทาเลียเป็นนางฟ้าเลยนะ แต่เธอเป็นพวกตื่นเช้า ถึงอย่างนั้นก็เป็นคนเจ๋งๆ เราไปเที่ยวกันบ่อยๆ หลังเลิกงาน วอร์ดก็ด้วย”
ไอรีนเลิกคิ้ว เธอยังไม่เคยได้ยินชื่อนี้ “นั่นใครเหรอคะ”
“วอร์ดเป็นเภสัชกร แล้วก็เป็นเภสัชฯ ที่เก่งด้วย เขาจะคอยดูเสมอว่าคนไข้คนไหนเป็นเคสเร่งด่วน แล้วก็จะรีบส่งยามาให้โดยไม่ชักช้า แต่คนอื่นๆ ในแผนกน่ะนะ...” เขาเว้นช่วงไป “ถ้าจะหาทาเลีย ก็ไปดูที่นั่นได้เลย เธอชอบเขาแต่ไม่ยอมรับ แต่เขาก็วิ่งไปห้องยาทุกครั้งที่มีโอกาส ถึงแม้จะไปเอายาระบายก็เถอะ” เขากระซิบอย่างรู้กัน
“น่ารักจัง” เธอให้ความเห็น
แอนดี้มองเธอด้วยสายตาขยะแขยงนิดๆ “ใช่สิ ยาระบายนี่แหละบ่อเกิดแห่งความโรแมนติกทั้งมวล ถ้าเธอไม่เอาไปเขียนบทหนัง ฉันจะเขียนเอง” เขาพูดอย่างประชดประชัน
ไอรีนกลอกตา “คุณก็รู้ว่าฉันหมายถึงอะไร”
เขายักไหล่ “แล้วก็มีไซน์ เธอขี้อาย ไม่ค่อยพูดกับใคร แต่ก็ไม่ใช่ตัวปัญหา ซึ่งก็ดีแล้วนะ แต่เธอจะอ่อนไหวง่ายหน่อย”
เธอพยักหน้าเห็นด้วย
“ยังมีอีกสองสามคน เดี๋ยวพอได้เจอแล้วจะบอกอีกที”
“แล้วพวกคุณทำอะไรคลายเครียดกันเหรอ”
“ส่วนใหญ่ก็ดื่มกันหลังเลิกงาน... มีคืนเล่นโป๊กเกอร์ แข่งปาเป้า...”
ไอรีนยิ้ม “ฟังดูสนุกจัง”
“คราวหน้าเธอควรมากับพวกเรานะ” เขาพูด เขาไม่รอคำตอบก่อนจะข้ามไปพูดถึงคนถัดไป “ชิบหาย ลืมเตือนเรื่องกีกี้ไปเลย ยัยนั่นทำงานเป็นเลขาของวอร์ดเรา มีเรื่องซุบซิบเยอะกว่าทีเอ็มซีอีก เพราะงั้นอย่าไปบอกอะไรเธอเด็ดขาด นอกจากว่าอยากให้เรื่องมันกระจายไปทั่วทั้งโรงพยาบาลและทั่วทั้งเมือง”
“เข้าใจแล้ว แย่กว่าทีเอ็มซีอีก ต้องอยู่ให้ห่าง”
แอนดี้กัดเบอร์เกอร์ไปหนึ่งคำ “แล้วก็ฉันไง เพื่อนร่วมงานที่เจ๋งที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมา” เขาขยิบตา แต่ท่าทางนั้นกลับดูไม่น่ามองเอาเสียเลยเพราะท่าทีการกินอันตะกละตะกลามของเขา
